ใต้เครื่องแบบ...ใต้เบาะ Season 3 ตอนที่ 1: นักแข่งกับช่างเครื่อง

หนึ่งปีผ่านไป...

กาลเวลาอาจเปลี่ยนผันฤดูกาล แต่สำหรับมิตรภาพของ "ครอบครัวใต้เบาะ" มันกลับยิ่งบ่มเพาะให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ภาพของชายฉกรรจ์หกคนที่ยืนออกันอยู่หน้าประตูผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินสุวรรณภูมิ ดึงดูดสายตาจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี พวกเขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการยืนคุยและหยอกล้อกันเสียงดังตามประสา แต่รัศมีของแต่ละคนที่รวมกันนั้นมันโดดเด่นเกินกว่าจะไม่มีใครสังเกต

"มึงว่ามันจะมาถูกไหมวะ" ต้าที่ตอนนี้ตัวดูจะหนาขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เอ่ยถามพลางโอบไหล่บอสที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเป็นธรรมชาติ

"เอาน่า... นักแข่งระดับโลก ไม่น่าจะหลงทางในสนามบินหรอกมั้ง" บอสตอบกลับ พลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มต้าเบาๆ

ไทกับกันต์ยืนมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม พวกเขาคุ้นเคยกับภาพของคู่รักจอมพลังคู่นี้ดีแล้ว ในขณะที่คิมกับเนย์ก็กำลังคุยกันเรื่องโปรเจกต์ใหม่ของเนย์อย่างออกรส

แล้วประตูอัตโนมัติก็เลื่อนเปิดออก...

ร่างสูงโปร่งในชุดลำลองแบรนด์เนมที่ดูสบายๆ แต่ก็แฝงไปด้วยออร่าของซูเปอร์สตาร์ก้าวออกมา เขาถอดแว่นกันแดดราคาแพงออก เผยให้เห็นใบหน้าที่คมคายและรอยยิ้มที่มีเสน่ห์คุ้นตา ผมสั้นทรงสปอร์ตของเขาถูกเซ็ตมาอย่างดี

"ไงพวก! คิดถึงชิบหาย!" อากิระตะโกนทักทายด้วยภาษาไทยที่คล่องแคล่วและชัดเจนจนแทบไม่เหลือสำเนียงต่างชาติ

เสียงโห่ร้องต้อนรับดังขึ้นจากกลุ่มเพื่อน แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เข้าไปทักทาย ร่างของชายอีกคนก็เดินตามหลังอากิระออกมาด้วยท่าทีที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

ชายหนุ่มผมสั้นยุ่งๆ ในเสื้อยืดลายวงดนตรีร็อกเก่าๆ กับกางเกงยีนส์ขาดๆ เข็นรถที่เต็มไปด้วยกระเป๋าเดินทางและกล่องเครื่องมือขนาดใหญ่ตามออกมาด้วยสีหน้าที่เบื่อโลกและรำคาญทุกสิ่งรอบตัว

"เฮ้! อากิระ!" บอสตะโกนแซว "แล้วนี่ใครวะ? เด็กฝึกงานมึงเหรอ?"

ชายหนุ่มหน้าบึ้งคนนั้นหยุดเดินทันที เขาหันขวับมามองบอสด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ก่อนจะสวนกลับเป็นภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำไม่แพ้อากิระ

"ฝึกงานบ้านพ่องมึงสิ... กูเป็นช่างเครื่อง"

คำตอบที่ห้วนและหยาบคายนั้นทำให้ทั้งกลุ่มเงียบกริบไปชั่วขณะ ก่อนที่อากิระจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

"ใจเย็นน่าคาซึยะ" อากิระเดินไปตบบ่าเพื่อนสนิท "โทษทีพวก... นี่คาซึยะ เพื่อนซี้ kiêm ช่างเครื่องคู่ใจกูเอง เขาเป็นลูกครึ่ง... ปากหมาไปหน่อย แต่ฝีมือของจริง"


ทุกคนย้ายกองไปที่อู่ของกันต์ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเหมือนศูนย์บัญชาการของกลุ่มไปโดยปริยาย

อากิระนั่งอยู่บนโซฟาตัวเก่า เล่าแผนการทั้งหมดให้เพื่อนๆ ฟังอย่างเป็นทางการ "ผมเซ็นสัญญากับทีม 'ไทย-ยามาฮ่า' เพื่อลงแข่งในรายการเอเชีย โร้ด เรซซิ่ง แชมเปี้ยนชิพปีนี้เต็มฤดูกาลเลยต้องย้ายเบสมาอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็ปีนึงเต็มๆ"

ในขณะเดียวกัน คาซึยะก็กำลังเดินสำรวจพื้นที่ทำงานใหม่ของเขาในอู่ด้วยสายตาของมืออาชีพ เขาเดินไปเคาะโต๊ะเหล็ก, ลองหมุนปากกาจับชิ้นงาน, และตรวจเช็คระบบไฟกับปลั๊กต่างๆ

"ระบบระบายอากาศน่าจะดีกว่านี้ได้นะ" เขาพึมพำกับตัวเอง แต่กันต์ที่ยืนมองอยู่ได้ยินพอดี

"ผมเน้นเปิดโล่งมากกว่าใช้พัดลมดูดอากาศ มันเวิร์คกว่าสำหรับอากาศบ้านเรา" กันต์ตอบกลับเรียบๆ

คาซึยะหันมามองหน้ากันต์ ก่อนจะเดินไปดูที่แผงเครื่องมือที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบแต่แตกต่างจากสไตล์ของเขา "คุณเรียงประแจแบบนี้... เวลาจะใช้เบอร์ใหญ่ๆ ไม่ต้องรื้อหาเหรอ?"

"ผมจำได้ทุกตัวว่าอะไรอยู่ตรงไหน" กันต์ตอบกลับอย่างใจเย็น "และผมเชื่อว่าช่างที่ดี... ต้องรู้จักเครื่องมือของตัวเองดีกว่าใคร"

คำตอบนั้นทำให้คาซึยะชะงักไปเล็กน้อย เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของกันต์... และได้เห็นความนิ่งและความเป็นมืออาชีพที่ไม่ได้อยู่บนเปลือกนอก เขายอมพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ "ก็... จริงของคุณ"

ความเคารพในฐานะ "คนคอเดียวกัน" ได้ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ระหว่างช่างเครื่องสองสไตล์


เมื่อตะวันตกดิน ลานหน้าอู่ก็ถูกเปลี่ยนเป็นลานปาร์ตี้บาร์บีคิวฉลองการมาถึงของสองหนุ่มจากญี่ปุ่น ควันจากเตาเนื้อย่างและกลิ่นเบียร์เย็นๆ คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

เนย์ถือโอกาสนี้เข้าไปนั่งคุยกับอากิระอย่างเป็นส่วนตัว เขาไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ แต่กลับถามคำถามที่ตรงประเด็น "การย้ายมาแข่งที่นี่คนเดียว... กดดันไหม? คุณแบกความหวังของทั้งทีมใหม่และสปอนเซอร์คนไทยไว้เลยนะ"

อากิระมองหน้าโปรดิวเซอร์หนุ่มด้วยความทึ่ง "คุณมองผมทะลุดีนะ... ปกติคนอื่นจะถามแค่ว่าหวังว่าจะชนะกี่สนาม"

"ชัยชนะมันเป็นแค่ปลายทาง" เนย์ตอบกลับเรียบๆ "แต่เรื่องราวระหว่างทาง... มันน่าสนใจกว่าเยอะ"

สายตาของทั้งสองคนที่สบกัน มันเต็มไปด้วยแรงดึงดูดของ "ศิลปิน" ที่เจอกับ "ผลงานชิ้นเอกที่มีชีวิต" ประกายไฟแรกได้ถูกจุดขึ้นแล้วอย่างชัดเจน

อีกมุมหนึ่ง... คาซึยะที่พยายามแยกตัวออกมาจากความวุ่นวาย กำลังก้มหน้าก้มตาเช็คลิสต์อะไหล่ในแท็บเล็ตของเขา แต่แล้วเขาก็ต้องร้อง "โอ๊ย!" ออกมาเบาๆ เมื่อขอบโลหะที่คมกริบของชิ้นส่วนที่เขากำลังตรวจอยู่บาดเข้าที่ข้อนิ้วจนเลือดซึม

"ไหนครับ... ขอผมดูหน่อย" เสียงทุ้มๆ ที่อ่อนโยนดังขึ้นข้างๆ คิมเดินเข้ามาหาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ในมือของเขาถือกล่องปฐมพยาบาลขนาดเล็กไว้เรียบร้อย

"เรื่องเล็กน่า ไม่ต้อง!" คาซึยะรีบซ่อนมือตัวเองตามสัญชาตญาณ

คิมยิ้มบางๆ "สำหรับผม เรื่องแผลไม่มีคำว่าเล็กครับ ยิ่งมือของคุณเป็นเครื่องมือทำมาหากินด้วยแล้ว" เขาไม่สนใจคำปฏิเสธ ค่อยๆ จับมือที่หยาบกร้านและเริ่มเปื้อนคราบน้ำมันของคาซึยะขึ้นมาอย่างเบามือและมั่นคง

คาซึยะที่ปกติจะโวยวาย กลับนิ่งเงียบไป เขามองภาพของนายแพทย์หนุ่มในชุดเนี้ยบที่กำลังบรรจงทำความสะอาดแผลให้เขาอย่างใจเย็น สัมผัสที่อ่อนโยนและสะอาดสะอ้านนั้นช่างตรงข้ามกับชีวิตของเขาสิ้นดี และมันก็ทำให้หัวใจที่เย็นชาของเขา... เต้นผิดจังหวะไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

บรรยากาศของค่ำคืนแรกแห่งการกลับมาพบกันเต็มไปด้วยประกายไฟที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังรอวันที่จะปะทุขึ้น... และในขณะเดียวกัน วัฒนธรรมที่แท้จริงของ "ใต้เบาะ" ก็กำลังจะเริ่มการแสดงรอบปฐมทัศน์ให้แก่แขกผู้มาใหม่ทั้งสองคนได้ประจักษ์ในไม่ช้านี้...

หลังจากที่คิมทำแผลให้คาซึยะเสร็จ บรรยากาศของปาร์ตี้ก็ดำเนินต่อไปด้วยความครึกครื้น แอลกอฮอล์เริ่มทำให้ทุกคนผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เรื่องราวเก่าๆ ถูกนำมาเล่าขาน เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะๆ

จนกระทั่งไทที่นั่งมองน้องๆ อยู่เงียบๆ ก็พูดขึ้นทำลายวงสนทนา

"กูว่า... บรรยากาศแบบนี้แม่งน่าคิดถึงว่ะ" เขาพูดเรียบๆ แต่ทุกสายตาหันไปมอง "ไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้า 6 คนแบบนี้มาเป็นปีแล้วมั้ง"

กันต์ยิ้มรับทันที เขารู้ว่าไทกำลังจะสื่อถึงอะไร "นั่นสิพี่... เหมือนร่างกายมันลืมๆ ไปแล้วว่า 'วัฒนธรรม' ของบ้านเรามันเป็นยังไง"

"งั้นก็ต้องทบทวนกันหน่อย!" ต้าตะโกนขึ้นอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะหันไปขยิบตาให้บอส

คำพูดนั้นเป็นเหมือนสัญญาณลับที่ทุกคนเข้าใจดี สมาชิกดั้งเดิมทั้ง 6 คนมองหน้ากัน ก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแต่ละคน... โดยมีสายตาของสองหนุ่มผู้มาใหม่จ้องมองอยู่ไม่วางตา

พิธีกรรมเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไทกับกันต์แยกตัวไปที่โซฟาหนังตัวใหญ่ เป็นภาพของคู่รักรุ่นพี่ที่รู้ใจกันโดยไม่ต้องมีคำพูด ไททิ้งตัวลงนั่งก่อนจะดึงกันต์ให้นั่งคร่อมบนตักของเขา แล้วมอบจูบที่ลึกซึ้งและเต็มไปด้วยอำนาจ

ฝั่งของต้ากับบอสก็ไม่น้อยหน้า ทั้งสองคนเริ่มหยอกล้อกันด้วยการปล้ำฟัดกันลงไปบนพื้นพรมหนาๆ เหมือนลูกหมีสองตัวที่เล่นกันอย่างรุนแรงแต่ก็รู้ขอบเขต จบลงด้วยการที่ต้าพลิกขึ้นมาอยู่ด้านบนแล้วเริ่มซุกไซ้ซอกคอของบอสอย่างหิวกระหาย

คิมกับเนย์มองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา เนย์ในฐานะ "ผู้กำกับ" เดินเข้าไปหาคู่ของต้ากับบอสก่อน "เฮ้ๆ ท่านี้บล็อกแสงหมด ขอจัดองค์ประกอบหน่อย" เขาพูดทีเล่นทีจริง ก่อนจะเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนสองคน ในขณะที่คิมก็เดินตรงไปที่โซฟาแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าคู่ของไทกับกันต์

ภาพตรงหน้าของอากิระและคาซึยะในตอนนี้ คือความโกลาหลที่งดงามและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา

ไทที่กำลังจูบกับกันต์อยู่เหลือบไปเห็นคิม เขาจึงผละออกมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า "มาช่วยกันต้อนรับ 'น้อง' หน่อยสิหมอ" ว่าแล้วเขาก็เบนความสนใจไปที่ส่วนล่างของกันต์ ในขณะที่คิมก็เข้ามาดูแลกันต์จากอีกทางหนึ่งอย่างเต็มใจ

"อืมม... พี่คิม... พี่ไท..." กันต์ครางออกมาอย่างสุขสม "สองคนเลยเหรอ... ไม่เกรงใจนะ"

ฝั่งของต้า บอส และเนย์ ก็กลายเป็นวง 3P ที่ดุเดือดไม่แพ้กัน ต้าจับขาของบอสให้พาดบ่า ในขณะที่เนย์ก็เข้ามาปรนเปรอต้าจากด้านหลัง

"ไอ้เนย์! มึงแม่ง... อ๊า... ลิ้นมึงยังเด็ดเหมือนเดิมเลยนะ!" ต้าคำรามออกมา

"ก็ศิลปินนี่ครับ... ปลายพู่กันมันต้องไว" เนย์ตอบกลับเสียงพร่า

อากิระที่ยืนกอดอกพิงเสาอยู่ มองภาพทั้งหมดด้วยแววตาที่เปล่งประกายอย่างปิดไม่มิด รอยยิ้มมุมปากของเขาฉายชัดถึงความทึ่งและความสนใจใคร่รู้ เขาไม่ได้ตัดสิน แต่กำลังวิเคราะห์... วิเคราะห์ "ความไว้เนื้อเชื่อใจ" ที่น่าเหลือเชื่อของคนกลุ่มนี้ พวกเขามีความสุขกันอย่างบริสุทธิ์ใจ ปลดปล่อยทุกอย่างโดยไม่มีกำแพง และนั่นคือสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันช่างเซ็กซี่และน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการแข่งขันในสนามเสียอีก

แต่สำหรับคาซึยะ... มันคือภาพที่เหนือจินตนาการ เขายืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่มุมห้อง มือที่กำกระป๋องเบียร์ไว้สั่นเทาเล็กน้อย ส่วนหนึ่งในใจของเขาตะโกนว่ามัน "ผิดปกติ" และ "ไร้ขอบเขต" แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพของเพื่อนสนิทที่ไว้ใจกันจนยอมเปลือยกายและมอบความสุขให้แก่กันนั้นมันมี "พลัง" บางอย่างที่ดึงดูดเขาอย่างประหลาด เขาทั้งรู้สึกไม่เข้าใจและอิจฉาไปพร้อมๆ กัน ความรู้สึกที่ตีกันอย่างรุนแรงทำให้เขาทำได้เพียงแค่ยกเบียร์ขึ้นดื่มเพื่อกลบเกลื่อน แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

ความโกลาหลดำเนินต่อไป ทุกคนเริ่มสลับตำแหน่งกันอย่างอิสระ บอสที่แยกตัวออกมาได้ก็ตรงเข้าไปหาไททันที "พี่ใหญ่... ไม่ได้เจอกันนาน ขอชิมหน่อยนะ" เขาพูดก่อนจะก้มลงไปที่ตักของไท ในขณะที่กันต์ก็ถูกต้าดึงเข้าไปจูบอย่างดูดดื่ม เหลือเพียงคิมกับเนย์ที่กำลังสนุกอยู่ด้วยกัน เป็นภาพที่วุ่นวายแต่ก็ลงตัวอย่างน่าพิศวง

จนกระทั่งเสียงครางแห่งความสุขสมดังขึ้นพร้อมๆ กันจากทั่วทุกมุมห้อง เป็นสัญญาณว่า "การทบทวนความหลัง" ได้สิ้นสุดลงแล้ว

...

หลังจากที่ทุกคนสงบลงและเริ่มหาเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างเกียจคร้าน อากิระก็เดินเข้าไปหาเนย์ที่กำลังนั่งเช็ดตัวอยู่

"น่าสนใจดีนะ... วัฒนธรรมของพวกคุณ" อากิระพูดพร้อมรอยยิ้มที่มีเลศนัย

เนย์เงยหน้าขึ้นมายิ้มตอบ "นี่แค่ 'บทนำ' เท่านั้นแหละ"

"เรื่องที่ผมเคยพูดเล่นๆ ว่าอยากทำสารคดีเกี่ยวกับคุณ..." เนย์พูดต่อ "ตอนนี้ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆ แล้วนะ"

อากิระเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ "I'm listening."

อีกมุมหนึ่ง คิมเดินเข้าไปหาคาซึยะที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลง แต่กลับถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายและเป็นห่วง

"ไหวไหม?"

คาซึยะหันมามองหน้าคิม แววตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความสับสน เขาไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้เดินหนี... และความเงียบนั้นก็คือคำตอบที่ดีที่สุดแล้วสำหรับค่ำคืนนี้

ปิดฉากลงด้วยภาพของสองหนุ่มผู้มาใหม่ที่กำลังยืนอยู่บน "เส้นสตาร์ท" ของความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง