The Aperture Club (ซีซั่น 1) ตอนที่ 7: สมาชิกใหม่ (New Member)

เสียงจอแจในโรงอาหารของโรงเรียนยังคงดังอื้ออึงไม่ต่างจากทุกวัน กลิ่นอาหารปะปนกับเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ แต่สำหรับคินกับเต้แล้ว บรรยากาศรอบตัวกลับดูเหมือนจะอึดอัดและเต็มไปด้วยสายตาที่มองไม่เห็น เหตุการณ์ในโรงหนังร้างกับ "สิงหา" ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในใจของพวกเขาทั้งสอง มันคือบทเรียนราคาแพงที่สอนว่าโลกที่พวกเขากำลังเล่นอยู่นั้นอันตรายและซับซ้อนกว่าที่คิด ความลับของพวกเขามี "ตัวแปร" เพิ่มขึ้นมา และนั่นทำให้ทุกย่างก้าวต้องระมัดระวังเป็นพิเศษราวกับเดินอยู่บนคมมีด

คินกับเต้นั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่ง ห่างไกลจากกลุ่มนักเรียนคนอื่นๆ ไม่ได้พูดคุยกันเรื่องโปรเจกต์ใหม่อย่างเคย แต่กำลังทบทวน "กฎ" ที่เพิ่งร่างขึ้นมาด้วยกันอย่างเงียบๆ บนแท็บเล็ตของเต้ สายตาของเต้เต็มไปด้วยความครุ่นคิดและกังวล ริมฝีปากเม้มแน่น ในขณะที่คินก็รู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้น อะดรีนาลีนที่เคยพลุ่งพล่านเมื่อได้ปลดปล่อยร่างกาย บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียดที่มองไม่เห็น

ในขณะเดียวกัน นนท์ เพื่อนสนิทของคินในทีมว่ายน้ำ เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนมาหลายสัปดาห์แล้ว คินดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างประหลาด แววตาที่เคยเฉยชาบัดนี้เต็มไปด้วยประกายไฟแห่งความตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกันก็ดูลึกลับและมีระยะห่างมากขึ้น ราวกับเขากำลังก้าวเข้าไปในโลกที่นนท์ไม่อาจเข้าถึงได้ ความสัมพันธ์ที่ดูจะ "พิเศษ" เกินเพื่อนระหว่างคินกับเต้ เด็กห้องศิลปะที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของใคร ก็เป็นอีกสิ่งที่นนท์สัมผัสได้จากการมองเห็นเต้มาหาคินที่สระว่ายน้ำบ่อยครั้ง และสายตาที่ทั้งสองมองกันมันเกินกว่าคำว่าเพื่อน นนท์ไม่ได้รู้สึกอิจฉา แต่กลับรู้สึก "อยากรู้อยากเห็น" และ "สนใจ" อย่างมากว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เพื่อนของเขาเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ความรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตประจำวันที่ซ้ำซากจำเจ ผลักดันให้นนท์อยากค้นหาบางสิ่งที่แตกต่าง

นนท์ไม่ได้แค่สงสัย เขาสืบ เขาแอบตามดูคินหลังจากซ้อมเสร็จในบางวัน เขาเห็นคินกับเต้แอบไปพบกันในที่ลับตาคน ไปตามมุมอับของโรงเรียน ไปจนถึงถนนเส้นเปลี่ยว และคืนหนึ่ง...เขาเห็นทั้งสองคนปีนรั้วเข้าไปในโรงหนังร้าง "พาราไดซ์" สถานที่ที่เขาเคยได้ยินข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับมันมาบ้าง ภาพเงาของสองร่างที่หายลับเข้าไปในความมืดของโรงหนังร้างนั้น ตรึงตราอยู่ในใจของนนท์ ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

วันนี้ นนท์ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้า เขาไม่ได้ลากเก้าอี้มานั่งด้วยอย่างเป็นมิตร แต่เขาวางกระเป๋าเป้สะพายข้างลงบนโต๊ะของคินกับเต้เสียงดัง "ปัง!" ทำให้ทั้งสองคนสะดุ้งสุดตัวและหันมามองเป็นตาเดียว ใบหน้าของนนท์จริงจังและเด็ดเดี่ยว

“มีอะไรวะนนท์?” คินถามด้วยน้ำเสียงกึ่งสงสัยกึ่งระแวง มือของเขาเอื้อมไปแตะแท็บเล็ตที่วางอยู่บนโต๊ะราวกับจะปกป้องความลับของพวกเขา

นนท์ไม่พูดอ้อมค้อม เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดรูปที่เขาแอบถ่ายไว้จากระยะไกล...เป็นภาพเงาของคนสองคนกำลังปีนรั้วโรงหนังร้าง "พาราไดซ์" ที่มืดมิด “กูไม่รู้หรอกนะว่าพวกมึงทำเหี้ยอะไรกันในนั้น... แต่กูอยากรู้” นนท์พูดเสียงจริงจัง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ดวงตาของเขาสบเข้ากับดวงตาของคินและเต้สลับกัน ราวกับจะอ่านใจพวกเขา “กูไม่ได้จะเอาเรื่องไปบอกใคร... แต่กูเบื่อชีวิตเดิมๆ ว่ะ กูอยากรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่จริงๆ เหมือนที่พวกมึงรู้สึกอยู่ตอนนี้”

คำพูดของนนท์ทำเอาคินกับเต้อึ้งไปชั่วขณะ ใบหน้าของพวกเขาสลับจากความตกใจเป็นความประหลาดใจ พวกเขาไม่คิดว่าความลับจะแตกในลักษณะนี้ และไม่คิดว่านนท์จะมีความปรารถนาที่คล้ายคลึงกันซ่อนอยู่ ความรู้สึกอยากจะปลดปล่อยจากความจำเจ

เย็นวันนั้น ที่ห้องของเต้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความเงียบงัน มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานเบาๆ เต้กับคินนั่งอยู่คนละมุมห้อง แตกต่างจากที่เคยนั่งใกล้กัน “กูว่าเราควรให้โอกาสมัน” คินเป็นฝ่ายเริ่ม น้ำเสียงของเขาอ่อนลงกว่าที่เคย “นนท์เป็นเพื่อนกู กูไว้ใจมัน”

“ความไว้ใจมันไม่พอหรอกคิน” เต้สวนกลับทันที ดวงตาของเขาคมปลาบและเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย “เกมของเรามันอันตรายขึ้นทุกวัน การมีคนนอกเข้ามาเพิ่มมันคือความเสี่ยงที่กูไม่พร้อมจะรับ ถ้ามันพลาด...ไม่ใช่แค่มันที่ซวย แต่คือพวกเราทั้งหมด”

“แล้วมึงจะให้ทำยังไง? ปล่อยให้มันเก็บความลับของเราไว้แบบนี้เหรอวะ? มันอันตรายกว่าอีก” คินเถียงกลับ น้ำเสียงเริ่มมีอารมณ์ “ถ้ามันรู้สึกถูกทิ้ง หรือกลัว เราก็ไม่รู้ว่ามันจะทำอะไร”

ทั้งสองคนเถียงกันอยู่นาน เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ มันคือความขัดแย้งครั้งแรกของพวกเขา คินปกป้องเพื่อนด้วยสัญชาตญาณ ปกป้องความรู้สึกส่วนตัว ในขณะที่เต้ปกป้อง "ผลงาน" และ "ความปลอดภัย" ของพวกเขาด้วยเหตุผลและความรอบคอบ เขาคิดถึงผลกระทบที่อาจตามมาหากความลับของ The Aperture Club ถูกเปิดเผย

ในที่สุด เต้ก็ถอนหายใจยาวๆ ราวกับแบกรับภาระหนักอึ้ง “โอเค... กูจะให้โอกาสมันพิสูจน์ตัวเอง แต่มันไม่ใช่บททดสอบง่ายๆ มันต้องพิสูจน์ให้กูเห็นว่ามันมีค่าพอที่จะเข้ามาอยู่ในเกมของเรา” น้ำเสียงของเต้กลับมาจริงจังและเด็ดขาด

บททดสอบของนนท์ไม่ใช่การแก้ผ้าปีนตึกอย่างที่คินเคยทำ แต่เป็นภารกิจที่ต้องใช้ไหวพริบ ความรอบคอบ และการสังเกตการณ์อย่างแท้จริง

“ภารกิจของมึงคือ... ไซต์ก่อสร้างร้างตรงเลียบทางด่วน” เต้ชี้ไปที่รูปในแท็บเล็ต รูปไซต์ก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ยังสร้างไม่เสร็จ โครงเหล็กและปูนเปลือยเปล่าทอดตัวสูงเสียดฟ้า “กูต้องการข้อมูลทั้งหมด แผนผังทางเข้าออก, จุดที่มีคนเฝ้า, มุมกล้องวงจรปิด, และเวลาที่ปลอดภัยที่สุด... มึงมีเวลาสองวัน และห้ามให้ใครจับได้เด็ดขาด ถ้าพลาด... ก็ถือว่ามึงสอบไม่ผ่าน”

นนท์รับคำท้าด้วยแววตาที่มุ่งมั่นและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาสัมผัสได้ถึงโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเอง โอกาสที่จะได้หลุดพ้นจากความจำเจของชีวิตเดิมๆ เขาใช้เวลาสองวันถัดไปในการ "สืบราชการลับ" เขาวางแผนอย่างรอบคอบ ปลอมตัวเป็นเด็กส่งของเพื่อเข้าไปดูลาดเลาในตอนกลางวัน สังเกตการณ์จากระยะใกล้ และใช้เวลาตอนกลางคืนเฝ้าสังเกตการณ์จากตึกร้างฝั่งตรงข้าม ใช้กล้องส่องทางไกลบันทึกรายละเอียด เขาจดทุกอย่างลงในสมุดบันทึกอย่างละเอียดลออ และเมื่อครบสองวัน เขากลับมาพร้อมกับข้อมูลที่ละเอียดเกินกว่าที่เต้คาดไว้ ทั้งแผนผังที่วาดด้วยมือเปล่าที่สมบูรณ์แบบ, ตารางเวรยามที่แม่นยำ, และจุดบอดของกล้องวงจรปิดที่เขาระบุได้อย่างชัดเจน

“โอเค... มึงผ่านด่านแรก” เต้พูดด้วยน้ำเสียงที่ยอมรับขึ้นมาเล็กน้อย แววตาของเต้เปลี่ยนจากความระแวงเป็นความชื่นชม “แต่ด่านต่อไป... คือของจริง”

คืนวันปฏิบัติการ ทั้งสามคนแอบเข้าไปในไซต์ก่อสร้างร้างตามข้อมูลที่นนท์ให้มาทุกอย่างเป๊ะ มันเงียบและดิบเถื่อนยิ่งกว่าโรงหนังร้างที่พวกเขาเคยไป โครงเหล็กขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา สร้างเงาที่ทอดยาวน่าเกรงขาม กลิ่นปูนและเหล็กสนิมคละคลุ้งในอากาศ ทุกย่างก้าวต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

“คืนนี้... คินคือตัวแสดง เต้คือผู้กำกับ... ส่วนหน้าที่ของมึง นนท์...” เต้หันไปมองนนท์ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความไว้ใจที่เริ่มก่อตัวขึ้น “คือตาบนฟ้าของเรา”

เต้ยื่น "โดรน" ขนาดเล็กที่นนท์ช่วยดัดแปลงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นให้นนท์ “มึงต้องคอยดูรอบๆ แจ้งเตือนเราถ้ามีอะไรผิดปกติ และที่สำคัญ... หามุมมองที่กูมองไม่เห็น มุมมองที่จะทำให้งานของเราสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น”

ภารกิจเริ่มต้นขึ้น คินเริ่มปลดปล่อยร่างกายของเขาไปตามโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ ปีนป่าย โหนตัว และเคลื่อนไหวอย่างสง่างามราวกับกำลังเต้นรำกับโครงสร้างโลหะ เต้กำกับและบันทึกภาพอย่างมืออาชีพด้วยกล้องของเขา หามุมที่ดีที่สุดในการจับภาพทุกการเคลื่อนไหวและทุกอารมณ์ของคิน ขณะที่นนท์ควบคุมโดรนให้บินขึ้นไปอย่างเงียบเชียบในความมืดมิดของยามค่ำคืน เสียงใบพัดของโดรนแทบไม่ได้ยิน ภาพที่ส่งกลับมายังแท็บเล็ตของเต้ทำให้เขาต้องทึ่ง มันคือมุมมองจากเบื้องบนที่เห็นความยิ่งใหญ่ของสถานที่และความเปราะบางของร่างกายมนุษย์ตัดกันอย่างงดงาม เป็นภาพที่ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ขณะที่กำลังถ่ายทำฉากสำคัญที่คินกำลังห้อยตัวอยู่อย่างหมิ่นเหม่บนคานเหล็กสูง เสียงลมพัดหวีดหวิว และแสงไฟจากโดรนส่องสว่างให้เห็นร่างกายของคินที่กำลังแสดงออกถึงความกล้าหาญและอิสรภาพ... “เต้! มีรถกำลังขับเข้ามา!” เสียงของนนท์ดังขึ้นอย่างกระหืดกระหอบผ่านวิทยุสื่อสารขนาดเล็ก “เป็นรถกระบะของ รปภ. น่าจะมาตรวจรอบดึก! อีกประมาณสองนาทีจะถึงจุดที่เราอยู่!”

ทุกคนใจหายวาบ เต้สั่งให้คินรีบหาที่ซ่อน แต่บนโครงเหล็กที่เปิดโล่งนั้นแทบไม่มีที่ให้หลบ คินพยายามปีนกลับลงมาอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้

“กูจะล่อมันไปอีกทาง!” นนท์ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่านี่คือโอกาสสุดท้าย เขาบังคับโดรนให้บินต่ำและเปิดไฟสว่างจ้าตรงไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับที่พวกเขาอยู่ บินไปทางมุมอับที่ห่างไกลออกไป

รปภ. ที่เห็นแสงไฟประหลาดเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วก็รีบขับรถตรงไปยังทิศทางนั้นทันที เปิดโอกาสให้คินและเต้รีบปีนลงมาและหาที่ซ่อนตัวอยู่หลังกองเศษเหล็กขนาดใหญ่ได้อย่างปลอดภัยพอดีก่อนที่รถของ รปภ. จะขับมาถึงจุดที่พวกเขาเคยอยู่

หลังจากที่ รปภ. ขับรถวนหาอยู่พักใหญ่และไม่เจออะไรผิดปกติ เขาก็ขับรถจากไปในความเงียบสงัด ทิ้งให้ทั้งสามคนอยู่ในความเงียบและความตื่นเต้นสุดขีด หัวใจของพวกเขายังคงเต้นระรัวด้วยความโล่งใจและอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่าน

กลับมาที่ห้องของเต้ พวกเขานั่งดูฟุตเทจที่ถ่ายมาได้ด้วยความตื่นเต้น มันยอดเยี่ยมและทรงพลังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และที่สำคัญ...มันมี "มุมมอง" ใหม่ๆ ที่นนท์สร้างขึ้นมา เป็นมุมมองจากเบื้องบนที่ทำให้ผลงานของพวกเขามีมิติมากขึ้น

เต้วางแท็บเล็ตลง เขาหันไปมองนนท์ที่นั่งอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าของนนท์ยังคงมีแววรู้สึกผิดที่เกือบทำภารกิจพัง

“นายทำได้ดีมากนนท์” เต้พูดขึ้น น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความจริงใจ ทำให้นนท์เงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “คืนนี้... นายไม่ได้แค่ช่วยให้เรารอด แต่นายทำให้ผลงานของเราสมบูรณ์ขึ้น นายคือส่วนสำคัญที่ทำให้วันนี้เป็นไปได้”

เต้ยื่นมือออกมาให้นนท์ แววตาของเต้เต็มไปด้วยความเชื่อใจและยอมรับ “ยินดีต้อนรับสู่ The Aperture Club... สมาชิกฝึกหัด”

นนท์จับมือเต้ไว้แน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปิติยินดี รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเป็นครั้งแรก เขารู้สึกเหมือนได้ค้นพบครอบครัวที่เขาตามหามาตลอด เป็นครอบครัวที่เข้าใจในความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ภายใน ที่นี่...เขารู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง

ฉากจบลงที่ทั้งสามคนมองดูผลงานบนหน้าจอด้วยกันอย่างภาคภูมิใจ มันไม่ใช่การเฉลิมฉลองด้วยเซ็กส์ แต่เป็นการเฉลิมฉลองด้วยความสำเร็จของ "ผลงาน" ชิ้นแรกที่พวกเขาสร้างขึ้นมาด้วยกันสามคน ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ก้าวเข้าสู่บทใหม่ที่ซับซ้อนและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม และพิธีกรรมต้อนรับที่แท้จริง...ยังคงรออยู่ข้างหน้า เป็นพิธีกรรมที่จะผูกมัดพวกเขาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก